ก้าวไปด้วยพระสัญญา

ก้าวไปด้วยพระสัญญา ตอนที่ 1

พระธรรม โยชูวา 1:1-9

...ผมเชื่อว่าหลายหลายคนคุ้นเคยกับการทำสัญญาหรือว่าเข้าใจของหลักการทำสัญญา ในเว็บไซต์ Thai Law Today’s ให้หลักในการทำสัญญาอย่างง่ายโดยในเนื้อความกล่าวว่า สัญญาคือข้อตกลงกันระหว่างบุคคลสองฝ่ายเพื่อให้มีผลผูกพันกันในทางกฎหมาย  เมื่อบุคคลสองฝ่ายมีความประสงค์ที่จะทำสัญญาต่อกัน  สิ่งที่มีความสำคัญและต้องคำนึงถึงในการทำสัญญาซึ่งจะขาดไปเสียมิได้เพราะหากมีกรณีการผิดสัญญากันเกิดขึ้น ก็อาจจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่คู่สัญญาที่เป็นผู้ได้รับความเสียหาย สรุปง่ายง่ายเราเห็นได้ว่าสัญญามีการตกลงกันระหว่างสองฝ่ายและเอกสารมีผลในด้านทางกฏหมาย เช่นเดียวกันในพวจนะของพระเจ้า พูดถึงพระสัญญาหรือว่าที่เราคุ้นเคยกับคำว่าพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมีต่อประชากรของพระองค์ และในพระคัมภีร์ใหม่ ก็มีพันธสัญญาหลายข้อที่พระเยซูคริสต์กล่าวไว้ เหตุเพราะว่าพระสัญญาของพระเจ้านั้นเป็นการทำสัญญาระหว่างสองฝ่ายคือระหว่างพระเจ้า-มนุษย์ และพระคัมภีร์เป็นเอกสารที่ยืนยันคำสัญญานั้นๆ

ประการแรก : การทรงเรียกนี้มาโดยพระเจ้า 1:1-2

 ...“ต่อมาหลังจากที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์สิ้นชีวิตแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาบุตรนูนผู้ช่วยโมเสสว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดจงลุกขึ้นข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้พวกเขา คือประชาชนอิสราเอล” โยชูวา 1:1-2 THSV11
 นี่เป็นช่วงเวลาที่โมเสสสิ้นชีวิตลงและเป็นการเริ่มต้นของโยชูวาบุตรนูนในการรับใช้พระเจ้า ในฐานะผู้นำเต็มตัวของชนชาติอิสราเอล การส่งเรียกนี้มาพร้อมกับหน้าที่และความรับผิดชอบที่โยชูวาได้รับนั่นคือนำชนชาติอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนและไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้คือ “คานาอัน” เราไม่ได้เห็นท่าทีของโยชูวาในการปฏิเสธการส่งเรียกของพระเจ้าเลย เพราะอาจเป็นได้ที่เราช่วยเองมั่นใจในพระเจ้าองค์นี้ผ่านทางการที่เขาเองเป็นผู้ช่วยโมเสสและเห็นในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำหลายอย่างและรวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเขาที่มีกับพระเจ้า (กันดารวิถี 13)
 สิ่งสำคัญที่ทำให้เราเห็นในชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั่นคือประสบการณ์ส่วนตัวที่เขามีกับพระเจ้า จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจในการติดตามพระเจ้า อีกทั้งโมเสสที่เป็นคนที่พระเจ้าใช้ในการเตรียมชีวิตของโยชูวาเพื่อพร้อมในการรับหน้าที่ในฐานะผู้นำชนชาติอิสราเอลในเวลาอันสมควร ไม่เพียงเรื่องของการส่งเรียกที่ทำให้โยชูวารู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยแต่ในส่วนที่สองยังมีพันธสัญญาหรือว่าพระสัญญาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาโดยตรง
  การทรงเรียกของพระเจ้า ย่อมเป็นมาจากพระเจ้าและโยชูวาได้ตอบสนองการทรงเรียกนี้เพราะเขาเองรู้จักพระเจ้าองค์นี้ที่อยู่กับชนชาติอิสราเอล ทั้งในการทำสงครามก็ดี การสำแดงความยิ่งใหญ่ในช่วงการนำของโมเสสก็ดี ทำให้เขาเองไม่ลังเลใจในการตอบสนองสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้เขาทำ และพระเจ้าทรงรู้จักเขาดี พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อโยชูวาก็เป็นเป้าหมายที่ดูแตกต่างกับโมเสส เพราะการเรียกโยชูวาเพื่อทำ 2 อย่างคือ อย่างแรก : บัดนี้เจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดจงลุกขึ้นข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้  อย่างที่สอง : ไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้พวกเขา คือประชาชนอิสราเอล การทรงเรียกของพระเจ้าที่มีต่อโยชูวา คือการสร้างประเทศของชนชาติอิสราเอล พระคัมภีร์ใช้คำว่า “แผ่นดินซึ่งเรายกให้พวกเขา”

  คำว่า “แผ่นดิน” หมายถึง รัฐ หรือ ประเทศ (ราชบัณฑิตยสถาน)
  คำว่า “Land”  หมายถึง ดินแดน เขต ขอบเขตปกครอง

สิ่งที่พระเจ้าเรียกให้โยชูวาทำ ไม่ได้เป็นงานที่ง่ายเพราะในบทที่ 6-12 เป็นต้นไปเป็นเรื่องของการเข้าไปยึดดินแดนต่างๆ บทที่ 13-22 การแบ่งดินแดน ( “ชาวแดนเทือกเขาทั้งหมดจากเลบานอน จนถึงมิสเรโฟทมาอิม คือคนไซดอนทั้งหมด เราเองจะขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล เพียงแต่เจ้าจงแบ่งดินแดนนั้นให้อิสราเอลเป็นมรดก ดังที่เราบัญชาเจ้าไว้ บัดนี้จงแบ่งแผ่นดินนี้ให้เป็นมรดกแก่คนเก้าเผ่ารวมกับคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าด้วย””โยชูวา 13:6-7 THSV11)

ชีวิตที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า เป็นชีวิตที่ได้มีส่วนในพันธกิจของพระองค์ การได้ถูกเลือกในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าเป็นเกียรติสำหรับชีวิตของโยชูวาและครอบครัว เพราะเขากำลังรับใช้พระเจ้าผู้หยิ่งใหญ่ คำว่า “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” เป็นชื่อที่เรียกแห่งเกียรติที่ใช้เรียกอับราฮัม ดาวิดและผู้รับใช้ของพระเจ้าในอิสยาห์(ถูกใช้บ่อยครั้งที่สุดกับโมเสส เช่น อพย. 14:31 ,กดว. 12:7-8,ฉธบ 34:5 ผู้รับใช้ของพระเจ้าปรากฎ 13 ครั้งและ ผู้รับใช้ของเรา 2 ครั้งในพระธรรมโยชูวา และนี่คือบรรพบุรุษแห่งความเชื่อที่ก้าวไปกับพระเจ้าและมั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย เหตุเพราะการทรงเรียกที่พระเจ้าทรงมีต่อเขาเหล่านั้น

ตัวอย่าง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นคนที่รักตุ๊กตามาก ทุก ๆ วันเธอต้องเดินผ่านร้านขายของเล่น และคอยมองดูตุ๊กตาเหล่านั้นด้วยใจที่ปรารถนาจะได้ ในที่สุดวันหนึ่งหนูน้อยคนนี้ก็เดินเข้าไปในร้าน เธอยิ้มจนแก้มแทบปริแล้วชี้ไปที่ตุ๊กตาตัวหนึ่งที่วางซุกไว้ที่มุมห้องมันเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีใครต้องการ เจ้าของร้านก็ประหลาดใจจึงถามเธอว่า
“หนูแน่ใจนะว่านี่เป็นตุ๊กตาที่หนูอยากได้?”
 เธอพยักหน้าแล้วเทเหรียญที่เธอเก็บสะสมไว้ทั้งหมดบนโต๊ะจ่ายเงินแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความชื่นชมยินดี และเดินกลับบ้านพร้อมตุ๊กตาที่เธอเลือกและซื้อมาด้วยเงินของเธอเอง เธอเล่นกับตุ๊กตาตัวน้อยนี้ทุกวัน หลายปีผ่านไป ตาและผมของตุ๊กตาก็หลุดและเสื้อผ้าก็เก่าลงและขาดวิ่น แต่เด็กหญิงคนนี้ก็ยังคงเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรดของเธอเรื่อยมา ดังนั้นตุ๊กตาตัวนี้จึงเป็นของเล่นที่มีความสุขที่สุดในโลก
คืนวันหนึ่งของเล่นชนิดอื่น ๆ เข้ามาล้อมรอบตุ๊กตาตัวนั้นและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ทำไมเธอจึงยังคงมีความสุขมากเหลือเกิน? เธอไม่ควรเศร้าใจหรือเพราะตอนนี้เธอเก่าและขาดวิ่นแล้ว?” เจ้าตุ๊กตาตอบว่า “ไม่ว่าฉันจะมองดูมีลักษณะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือ ฉันเป็นที่รักและเป็นสิ่งพิเศษสำหรับหนูน้อยผู้นั้น  เธอเป็นเจ้าของตัวฉัน  และฉันเองเป็นของเธอ  เธอจะปกป้องฉันเสมอเมื่อคนอื่นๆต้องการรังแกฉัน  ที่สำคัญที่สุดคือ  เธอเลือกฉันจากท่ามกลางของเล่นอื่น ๆ ทั้งหมดที่มีในร้านนั้น”
 พระเจ้าทรงเลือกเราให้เป็นประชากรของพระองค์ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนที่เราเองเลือกที่จะเชื่อในพระองค์  พระเจ้าทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก  เพื่อเราจะบริสุทธิ์  และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์

- ข้อพระคัมภีร์    เอเฟซัส  1:4 "ในพระเยซูคริสตเจ้านั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก"

ประการที่สอง : พระสัญญานี้ทำโดยพระเจ้า v.3-6

.... “ทุกๆ แห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้พวกเจ้าดังที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนนี้จนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิตไทต์ ถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก จะเป็นอาณาเขตของเจ้า ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะทำให้ชนชาตินี้ได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดก ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้เขา”...โยชูวา 1:3-6 THSV11

...พระสัญญาของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ล้มเลิกเเละไม่มีการผิดสัญญา มีหนังสือเล่มหนึ่งได้กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเอาพระองค์เองไว้ใต้พระสัญญาทุกข้อ” นั่นกำลังหมายถึง “ไม่มีการผิดสัญญา” พระเจ้าชี้จุดของดินแดนที่จะยกให้กับโยชูวาคือ… ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนนี้จนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิตไทต์ ถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก จะเป็นอาณาเขตของเจ้า แผ่นดินนี้คือมรดกของชนชาติของพระเจ้าโดยการนำของโยชูวา พระเจ้าทรงกำหนดขอบเขต การปกครองของอิสราเอลในสมัยนั้น บทที่ 13-19 เป็นฉลากของดินแดนแต่ละเผ่าอย่างชัดเจน พระคัมภีร์เขียนต่อว่า…ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้เขา” ชนชาติอิสราเอลรอ…รับได้เลย ไม่เคยบิดพริ้ว เพราะพระองค์ไม่ละเมิดคำสัญญาที่ให้ไว้ตั้งบรรพบุรุษ พระเจ้าองค์นี้เชื่อใจได้ พระองค์ไม่ละเลย

...ดังนั้นการให้คำมั่นสัญญาต่อโยชูวาเป็นการสานต่อสัญญาของคนรุ่นก่อนมาถึงคนรุ่นปัจจุบันคือโยชูวา และพันธสัญญานี้ได้รับการรักษามาอย่างดีและยาวนาน (ถ้าโมเสสมีอายุ 80 ปีนำชนชาติอิสราเอล อีก 40 ปีต่อจากนั้นยุคโยชูวา เขาตายเมื่อ 110 ปี) พันธสัญญาที่ยาวนานนี้กลับถูกรักษาไว้อย่างดีโดยพระเจ้า ทำให้มั่นใจได้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยตั้งแต่บรรพบุรุษจนมาถึงปัจจุบัน

 “ความสัตย์ซื่อ” ของพระเจ้าคงไว้ซึ่งความจริงที่มีการรักษามาตรฐานมาโดยตลอดโยชูวารับรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเขาอย่างแน่นอน และไม่ว่าข้างจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมั่นใจในพระเจ้าองค์นี้ได้ ไม่เพียงเเค่ขอบเขตเรื่องดินแดน แต่เป็นความมั่นใจในการทำศึกสงครามด้วยพระคัมภีร์กล่าวว่า... ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า...การยืนยันนี้ทำให้ความมั่นใจของคนที่จะเป็นเผชิญกับสิ่งที่ยังไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มั่นใจในพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สัญญา

เราสามารถที่จะมั่นใจในพระเจ้าที่เรารู้จัก ถ้าพระเจ้าองค์นี้ทรงอยู่กับโยชูวามาแล้วฉันใด ความสัตย์ซื่อของพระองค์ยังคงตราบอยู่นิรันดร์กาล และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์ทุกอย่างโดยที่พระคัมภีร์ทุกข้อสำเร็จโดยพระองค์ ชีวิตของผู้เชื่อทุกคนสามารถที่จะวางในพระเจ้าองค์นี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ชีวิตที่ผิดหวังและเสียใจเพราะหลายครั้งเราเองมั่นใจและเชื่อใจในมนุษญ์มากคนเกิดไป และมนุษย์ทุกคนมีความจำกัด จึงทำให้มนุษย์ด้วยกันผิดหวัง แต่ถ้าเราเองหวังใจ วางใจ และเชื่อมั่นในพระเจ้าเราเองจะไม่เสียใจเหมือนตลอดชีวิตของโยชูวาที่เขาเองเลือกที่จะติดตามและปรนนิบัติพระเจ้าเสมอมา เพราะความเชื่อและมั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้านั่นเอง

ตัวอย่าง รอยเท้าบนผืนทราย (ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009)
ชายคนหนึ่งฝันไปว่า เขาได้เดินไปชนชายหาดอันสวยงามกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสนทนากับเขาด้วยความรักห่วงใย และมิตรไมตรี แม้ในเวลาแห่งความทุกข์ยาก เขารู้สึกยินดีเมื่อเหลียวมองกลับไปเห็นรอยเท้าบนทรายสองคู่เคียงกัน นั่นคือรอยเท้าของเขาและรอยเท้าขององค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่แล้วเขาก็แปลกใจ เมื่อเห็นรอยเท้าเพียงคู่เดียวที่เหลืออยู่บนดินทราย เขาเริ่มต่อว่า ทำไมพระเจ้าทอดทิ้งเขาไปแล้ว หรือปล่อยให้เขาเดินอยู่เพยงลำพัง ไหนพระองค์สัญญาว่าจะอยู่ด้วย อยู่เคียงข้างทั้งในวาระแห่งความยากลำบาก ทันใดนั้นมีเสียงเบา ๆ มาที่ข้างหูของเขาและตรัสว่า “ลูกเอ๋ย เราสัญญากับเจ้าว่าจะอยู่กับเจ้าว่าจะอยู่กับเจ้าตลอดไปนั้นยังเป็นความจริง เราอยู่กับเจ้าเสมอ เราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าเลย เปิดตาของเจ้าให้กว้างและพิเคราะห์ดูรอยเท้าที่เจ้าเห็นนั้นไม่ใช่ของเจ้า แต่เป็นของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังอุ้มเจ้าอยู่”
     
ข้อคิด  พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา แม้แต่วินาทีเดียว พระองค์สัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไปเป็นนิตย์  เราต่างหากหลายครั้งมักห่างไกลและทิ้งพระเจ้า (โยชูวา 1:5)
....ไม่เพียงการทรงเรียกและพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อโยชูวาเท่านั้น แต่ยังมีส่วนที่สำคัญที่พระวจนะของพระเจ้าให้เห็นคือ...

ประการที่สาม : คำกำชับนี้สั่งโดยพระเจ้า v.7-9

 “เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหันเหจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวาหรือทางซ้าย เพื่อเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดีในทุกแห่งที่เจ้าไป อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้น แล้วเจ้าจะมีความเจริญ และประสบความสำเร็จ เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป”” โยชูวา 1:7-9 THSV11

สิ่งที่พระเจ้าได้ส่งโยชูวานั้นคือการรักษาชีวิตให้มั่นคงในทางของพระเจ้าโดยการยึดธรรมบัญญัติเพื่อการรักษามาตรฐานชีวิตในพระเจ้า ไม่เพียงเท่านั้นสิ่งที่เขาเองต้องใคร่ครวญอยู่เสมอก็คือคำสอนในหนังสือธรรมบัญญัติ  คำว่า “ห่างจากปากของเจ้า”  อ้างถึงธรรมเนียมของการพูดพึมพำในขณะที่อ่านหรือใคร่ครวญ และคำว่า ตรึกตรอง (ฮากาห์) เป็นภาษฮีบรูแปลตรงตามตัวอักษรคือ พึมพำ เมื่อผู้หนึ่งพึมพำพระวจนะของพระเจ้าต่อตนเองอย่างต่อเนื่อง เขากำลังคิดถึงมันอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวดัน
และคำว่า ตรึกตรอง ไม่ได้หมายความว่า การใคร่ครวญตามทฤษฎีของธรรมบัญญัติ เหมือนอย่างที่พวกฟาริสีได้ทำ แต่เป็นการศึกษาที่เน้นทางการปฎิบัติจุดประสงค์ก็เพื่อที่จะรักษาสิ่งนั้นในความคิด การกระทำ และทำออกไปด้วยความเข้าใจ

....เพียงเท่านี้ชีวิตของโยชูวาก็จะพบกับความสำเร็จ เพราะหัวใจสำคัญคือการเชื่อฟัง และการเชื่อพระเจ้าก็นำไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้า ในฐานะที่โยชูวาเองเองเป็นผู้นำต่อจากโมเสสโดยการเลือกสรรของพระเจ้านั้น เขาเองต้องเป็นแบบอย่างในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเขาด้วย เพราะประชากรเหล่านั้นเลือกที่จะตามผู้นำเพียงเพราะเขามั่นใจในตัวผู้นำที่เชื่อฟังพระเจ้า
และคำสำคัญอีกคำคือ  “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”  ความเข้มแข็งในชีวิตแห่งการเชื่อฟังและความกล้าหาญในความเชื่อแล้ว ส่งผลให้ชีวิตของโยชูวากล้าจะทำในสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เขาทำด้วยความมั่นใจ แม้สิ่งๆนั้นจะดูว่าเป็นงานที่ยาก หรือเกินกำลังของเขานั้น เพียงเพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกกับเขาคือ พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย

วันนี้ถ้าพระวจนะของพระเจ้าที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเราเอง เราควรจะใส่ใจ ศึกษาค้นคว้าเพื่อเรียนรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ ปัญหาอาจพาเราไปพบกับความกลัว แต่พระคำของพระเจ้าเป็นเหมือนโคมส่องเท้าที่จะนำทางเราไป คำสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงให้ไว้กับโยชูวานั้น ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจได้เลยว่า...ถ้าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยแล้ว ให้เราเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด ความมีชัยในพระเจ้าปราศจากความกลัวเหตุเพราะว่าเราเองมั่นใจและวางใจในพระเจ้าผู้สถิตอยู่ด้วยกับคนของพระองค์ แต่ชีวิตที่มีทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าคือชีวิตที่เชื่อฟังและปราศจากบาป และพระวจนะของพระเจ้าทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ชอบพระทัย และสิ่งที่ดียอดเยี่ยม  ดังนั้นปัญหาอุปสรรคต่างๆในชีวิตของเรานั้น เราเองสามารถเผชิญได้โดยพระเจ้าผู้ทรงเป็นกำลังให้กับเรา ขอเพียงเราเองรักษามาตรฐานในความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยไม่หันเหออกไปจากทางของพระเจ้า เราเองจะกับการช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และจะตามมาด้วยสันติสุข พระพรที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้กับชีวิตของท่าน เหมือนที่โยชูวาผู้รับใช้ของพระเจ้าได้รับ  พระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ในมือเราทุกคนนั้นจงให้สิ่งนั้นสร้างเราเพื่อพระวจนะเป็นประโยชน์สำหรับการสอน การตักเตือน การว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไข เพื่อชีวิตของเรานั้นจะพรักพร้อมในการกระทำการดีทุกอย่าง (2 ทิโมธี 3:16-17)  เอเมน!!!

ตัวอย่าง ยืนหยัดในความเชื่อ (ข้อมูลจากหนังสือ 108-1009)
...ดร.บิลลี่  คิม  จากประเทศเกาหลี  มาเทศนาในงานประชุมคองเกรสที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยสองครั้งสองครา  ท่านเล่าเรื่องปิดท้ายเชิญชวนผู้คนตอบสนองที่จะยืนหยัดเพื่อพระคริสต์ ท่านเล่าว่า  ระหว่างการรุกรานของทหารญี่ปุ่นต่อชนชาวเกาหลี  ทหารญี่ปุ่นได้บังคับให้คริสเตียนเกาหลี  กราบไหว้พระชินโตของญี่ปุ่นกับรูปวาดพระเยซูวางไว้ให้คริสเตียนเลือกว่าจะนมัสการหรือจะปฏิเสธโดยพวกทหารถือปืนคุมอยู่  ถ้าหากปฏิเสธพระเยซูก็ให้ถ่มน้ำลายรดบนรูป  และจะไว้ชีวิต
บรรดาผู้ปกครอง ที่เคยประกาศตัวว่า  รักพระเจ้า  ถ่มน้ำลายรดลงบนภาพวาดนั้น  แต่มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ  คนหนึ่ง  ถูกบังคับให้เข้าแถวที่จะต้องแสดงความกล้าด้วยว่าจะเชื่อหรือปฏิเสธพระเยซู  เธอเห็นหลายคนถ่มน้ำลายบนภาพ  แต่เธอทำตรงกันข้าม  เธอก้มลงหยิบภาพที่เปื้อนน้ำลาย  ใช้ชายเสื้อเช็ดน้ำลาย  เธอกอดภาพนั้นกล่าวว่า “พระเยซู  แม้คนอื่นจะปฏิเสธพระองค์  แต่หนูรักพระองค์”   ทุกคนจ้องมองที่เด็กน้อยผู้กล้ายืนหยัดต่อความเชื่อของตนก็รู้สึกระอายใจ  แต่สายเสียแล้ว  ทหารญี่ปุ่นหันปากกระบอกปืนไปที่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ผู้ปกครองคริสตจักรกราดยิงพวกเขาพร้อมกล่าวว่า “ขนาดพระเยซูที่พวกเขาบอกว่ารัก  เขายังกล้าปฏิเสธ  เขาจะไม่ปฏิเสธพระชินโตของเราหรือ”

- ข้อคิด   ถ้าคุณต้องเผชิญการกดขี่ข่มเหง  และต้องพิสูจน์ความเชื่อ  คุณจะยืนหยัดหรือไม่ ดั่งที่โยชูวาเองนั้นได้เลือกที่เชื่อและจะปรนนิบัติพระเจ้าต่อไป

สรุป

....ความมั่นใจเกิดขึ้น...พร้อมกับการก้าวไปกับพระเจ้าอย่างไม่สงสัยในพระสัญญา เพราะเรารู้ว่า “พระเจ้าทรงอยู่ด้วย” โดยมีเหตุผล 3 อย่างคือ

1. การทรงเรียกที่มาโดยพระเจ้า
2. พระสัญญาที่ทำโดยพระเจ้า
3. และสุดท้าย.... คำกำชับที่สั่งโดยพระเจ้า

ในประมาณปี 2446/1903 งานด้านการศึกษาและการประกาศอยู่ในความรับผิดชอบของครอบครัว Mr. Cooper ท่านทำงานอยู่ถึง 3 ปี เดินทางขึ้นล่องโดยเรือและขี่ม้าไปตามจุดต่างๆในเวลานั้น พิษณุโลกยังโดดเดี่ยวและห่างไกลความเจริญมาก รถไฟยังไม่ไปถึงและถนนยังไม่ค่อยมี และประวัติศาสตร์คริสตจักรที่พิษณุโลกนั้นจะต้องมีเรื่องราวของครอบครัว Cooper เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอในช่วง 30 ปีที่สถานนีพิษณุโลกได้เปิดขึ้น ท่านทั้งสองได้ทำงานอย่างเข้มแข็งเป็นเวลา 16 ปี ท่านเขียนไว้ว่า....

“ผมได้ใช้เวลาหลายปีปลูกพืชแต่ไม่เห็นผล ไม่มีอะไรที่ได้ปรากฏเลย 
ได้คอยอยู่เป็นเวลานานที่จะเห็นปรากฎการณ์ ที่จะนำความชื่นใจแก่ผมได้บ้าง “ 
                                                                                                           
...เครื่องหมายแห่งความมานะพยายามของท่าน แท้จริงปรากฎอยู่บนรากฐานที่ไม่มีใครเห็นอันเป็นฐานแห่งพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พิษณุโลก
                                                                                                           (หนังสือพระกิตติคุณเมืองสองเเคว)
...เหตุผลจากพระวจนะเพียงพอที่เราสามารถเชื่อมั่นใจได้ว่า “พระเจ้าทรงอยู่ด้วย” กับผู้เชื่อทุกคนรวมถึงบรรพบุรุษแห่งความเชื่อ และถ้าวันหนึ่งวันใดที่เราเกิดความสงสัย สับสนขึ้นมา ให้เรากลับมาทบทวนพระวจนะของพระเจ้าอีกครั้งเพราะทุกอย่างที่กล่าวมานั้น มาโดยพระเจ้าทั้งสิ้น ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดอวยพระพรทุกท่านให้เดินไปกับพระเจ้าด้วยความมั่นใจ


                                                                                                                 Tanatpong Polsawan

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Trust วางใจ